โรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์ Gout เป็นโรคยอดนิยมอันดับต้นๆที่ส่งผลให้มีอาการปวดบวมแดง อักเสบตามข้อ เกิดจากการที่มีกรดยูริคสะสมอยู่ในเลือดมากกว่าปกติ (โดยที่ระดับของกรดยูริคที่มากกว่า 6.8 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ณ อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส) และตกตะกอนสะสมเป็นผลึกฝังอยู่ตามข้อต่อ, เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อต่างๆ โดยตำแหน่งที่พบบ่อยๆ คือ ข้อนิ้วหัวแม่เท้า มีอาการอักเสบ ปวดแสบบวมแดง และหากมีก้อนกรดยูริคสะสมมากๆ ก็จะเห็นชัดเป็นปุ่มโปนออกมา
ข้อมูลปัจจุบันพบว่า 90% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าท์ มีภาวะกรดยูริคในเลือดสูงมากเกินปกติ (hyperuricemia) ส่วนอีก 10% เกิดจากการที่ร่างกายสร้างกรดยูริคออกมามากเกินไป เพราะไปรับประทานอาหารประเภทที่มีสารพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์, ไก่, กุ้ง, ปลาดุก, ชะอม, กระถิน, เนื้อแดง, สัตว์ปีก และอาหารทะเล เป็นต้น
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญ ที่มีผลต่อภาวะกรดยูริคในเลือดที่สูง และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง โดยที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทเบียร์ จะส่งผลต่อภาวะกรดยูริคในเลือดสูงที่สุด ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทไวน์ จะส่งผลต่อภาวะกรดยูริคในเลือดต่ำที่สุด
น้ำผลไม้กล่องและน้ำอัดลม ก็ส่งผลต่อระดับกรดยูริคในเลือดสูงขึ้น จนถึงขั้นเป็นโรคเก๊าท์ได้เช่นกัน เนื่องจากน้ำตาลผลไม้หรือฟรุคโตส เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเผาผลาญและก่อให้เกิดสารที่ชื่อว่า AMP จำนวนมาก ซึ่งสาร AMP นี้ จะถูกร่างกายปรับเปลี่ยนให้เป็นกรดยูริคในเลือด ซึ่งก็จะส่งผลต่อการเป็นโรคเก๊าท์อีกทางหนึ่ง
ผู้ที่มีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าท์ได้มากกว่าคนทั่วไป เพราะคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน จะทำให้ข้อต่อทำงานหนักมากขึ้น
ยาบางชนิด จะส่งผลข้างเคียงที่จะไปเพิ่มระดับปริมาณของกรดยูริคในเลือด ได้แก่ ยากลุ่มแอสไพริน, ไนอาซิน, ยาขับปัสสาวะ, ยาลดความดันโลหิต และยาเคมีบำบัดบางชนิด เป็นต้น ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ไปหาหมอ จะต้องบอกว่าตัวเองมีโรคประจำตัวให้ครบถ้วนถูกต้องเสมอ
นอกจากนี้ งานวิจัยยังระบุว่าผู้ที่มีประวัติของคนในครอบครัว ป่วยเป็นเก๊าท์ จะพบว่า 1 ใน 5 ของลูกหลาน ก็จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคเก๊าท์ได้เช่นกัน