8 ปรับปรุงเมื่อวันที่ 11ตุลาคม 2568
โรคยอดฮิคคนยุคใหม่ เมื่อก่อนอาจจะเจอโรคนี้ในผู้ป่วยที่มีอา ยุตั้งแต่ 507
ผู้ป่วยทีหกล้ม หรือผู้ป่วยที่ยกของหนักเกินกำลังของตนเอง
แต่ปัจจุบัน " โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท "
พบได้ในกลุ่มคนที่เป็นสมาชิก "สังคมก้มหน้า" กับ ที่วันๆมัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับเทคโนโลยี่ โทรศัพท์มือถือ สมารท์โฟน อยู่ท่าเดิมๆนานจนเกินไป จนร่างกายทนไม่ไหวและเกิด
ผู้ป่วยทีหกล้ม หรือผู้ป่วยที่ยกของหนักเกินกำลังของตนเอง
แต่ปัจจุบัน " โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท "
พบได้ในกลุ่มคนที่เป็นสมาชิก "สังคมก้มหน้า" กับ ที่วันๆมัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับเทคโนโลยี่ โทรศัพท์มือถือ สมารท์โฟน อยู่ท่าเดิมๆนานจนเกินไป จนร่างกายทนไม่ไหวและเกิด
" โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" ในที่สุด
" หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" จึงกลายเป็โรคท็อปฮิตโรคใหม่สำหรับหนุ่มสาววัยคนทำงานในยุคนี้ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธมันไปให้ได้ โดยอาการของโรคนี้สามารถสังเกตุได้ง่ายๆ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังเป็นระยะเลา เรื้อรังและยาวนาน ไม่ว่าจะกินยา ทายา นวด ประคบร้อน ประคบเย็น หรือนวดแผนโบราณเพื่อคลายความเจ็บปวด ก็ยังมีอาการอยู่ เป็นการปวดแบบร้าวลึกๆลงไปภายในส่วนบริเวนหลังของร่างกาย อาการปวดเหล่านี้จะไม่มีการบรรเทาลงแต่อย่างใด แต่ยิ่งทิ้งระยะเวลายาวนานไปมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีอาการปวดมากขึ้นและลึกลงไปเรื่อยๆ

อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แบ่งได้ 2 ลักษณะดังนี้
1.อาการปวดบริเวณหลัง
โดยเฉพาะอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่าง บริเวณข้อต่อ L3 L4 L5 S1
อาการปวดทับเส้นประสาทส่วนนี้จะชาและร้าวจากสะดพกลงไปที่ขาและเท้า ในทางกลับกันคือจะปวดร้าวจากที่เท้าขึ้นมาที่ขาแล้วลามไปที่สะโพก
โดยอาการเจ็บร้าวลงขาเช่นนี้ จะเกิดขึ้นกับขาข้างใดข้างหนึ่งไม่ใช่ทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะเจ็บปวดมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเจ็บบริเวณหลังส่วนล่างร่วมด้วย
อาการปวดเหล่านี้จะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
2.อาการปวดบริเวณคอ
อาการปวดบริเวณคอของ "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท "
เกิดจากบริเวณข้อต่อ C3-C7 เป็นแนวกระดูกเกี่ยวเนื่องกับระบบประสาท
ส่วนแขนกดทับเส้นประสาทในบริเวณนี้ ทำให้เกิดการชาบริเวณฝ่ามือ โดย
อาการชานั้นเริ่มจากบริเวณปลายนิ้ว หรือผู้ป่วยอาจมีอาการปวดร้าวที่บริเวณแขนก็ได้ โดยอาการปวดหรือชานี้จะเป็นข้างใดข้างหนึ่ง และจะมีอาการร่วมของ "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท " นี้ด้วย การที่ผู้ป่วย
มีอาการของอาการปวดคอ รวมไปถึงอาการปวดเมื่อยบริเวณสะบักแบบเรื้อรัง และเคลื่อนไหวคอลำบาก โดยอาการปวดสองลักษณะนี้สามารถเกิดได้กับผู้ป่วยคนเดียวกัน ซึ่งจะทวีความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยมากขึ้นอีก
หลายเท่าทวีคูณ









" หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" จึงกลายเป็โรคท็อปฮิตโรคใหม่สำหรับหนุ่มสาววัยคนทำงานในยุคนี้ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธมันไปให้ได้ โดยอาการของโรคนี้สามารถสังเกตุได้ง่ายๆ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังเป็นระยะเลา เรื้อรังและยาวนาน ไม่ว่าจะกินยา ทายา นวด ประคบร้อน ประคบเย็น หรือนวดแผนโบราณเพื่อคลายความเจ็บปวด ก็ยังมีอาการอยู่ เป็นการปวดแบบร้าวลึกๆลงไปภายในส่วนบริเวนหลังของร่างกาย อาการปวดเหล่านี้จะไม่มีการบรรเทาลงแต่อย่างใด แต่ยิ่งทิ้งระยะเวลายาวนานไปมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีอาการปวดมากขึ้นและลึกลงไปเรื่อยๆ

อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แบ่งได้ 2 ลักษณะดังนี้
1.อาการปวดบริเวณหลัง
โดยเฉพาะอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่าง บริเวณข้อต่อ L3 L4 L5 S1
อาการปวดทับเส้นประสาทส่วนนี้จะชาและร้าวจากสะดพกลงไปที่ขาและเท้า ในทางกลับกันคือจะปวดร้าวจากที่เท้าขึ้นมาที่ขาแล้วลามไปที่สะโพก
โดยอาการเจ็บร้าวลงขาเช่นนี้ จะเกิดขึ้นกับขาข้างใดข้างหนึ่งไม่ใช่ทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะเจ็บปวดมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเจ็บบริเวณหลังส่วนล่างร่วมด้วย
อาการปวดเหล่านี้จะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
2.อาการปวดบริเวณคอ
อาการปวดบริเวณคอของ "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท "
เกิดจากบริเวณข้อต่อ C3-C7 เป็นแนวกระดูกเกี่ยวเนื่องกับระบบประสาท
ส่วนแขนกดทับเส้นประสาทในบริเวณนี้ ทำให้เกิดการชาบริเวณฝ่ามือ โดย
อาการชานั้นเริ่มจากบริเวณปลายนิ้ว หรือผู้ป่วยอาจมีอาการปวดร้าวที่บริเวณแขนก็ได้ โดยอาการปวดหรือชานี้จะเป็นข้างใดข้างหนึ่ง และจะมีอาการร่วมของ "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท " นี้ด้วย การที่ผู้ป่วย
มีอาการของอาการปวดคอ รวมไปถึงอาการปวดเมื่อยบริเวณสะบักแบบเรื้อรัง และเคลื่อนไหวคอลำบาก โดยอาการปวดสองลักษณะนี้สามารถเกิดได้กับผู้ป่วยคนเดียวกัน ซึ่งจะทวีความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยมากขึ้นอีก
หลายเท่าทวีคูณ








หมอนรองรองกระดุกทับเส้นประสาท























